ศึกร้านอาหารอินเดีย! คู่กรณีโต้ ผมไม่ใช่มาเฟีย อยู่อ่าวนาง 24 ปี ช่วยเหลือสังคมตลอด

ศึกร้านอาหารอินเดีย! คู่กรณีโต้ ผมไม่ใช่มาเฟีย อยู่อ่าวนาง 24 ปี ช่วยเหลือสังคมตลอด

05/01 0 By admin



จากกรณี เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. หญิงชาวไทยซึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหารอินเดีย ร้องเรียนว่า ลูกชายอายุ 25 ปีถูกชาวอินเดีย ซึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหารอินเดียเหมือนกัน ทำร้ายร่างกาย โดย เล่าว่า ชายชาวอินเดียเดินเข้ามาหาเรื่องก่อน ชี้หน้าบอกลูกชายตนเองว่า “มึงอย่ายุ่งกับลูกน้องกูนะ กูอยู่นี่มา 24 ปี เดี๋ยวกูฝังมึงตรงนี้เลย” แล้วก็เข้ามาชกต่อยเข้าที่หน้าลูกชาย จนเกิดการชุลมุน  ก่อนจะแยกกันรอบแรก ลูกชายก็ตะโกนถามไปว่ามาทุบตีเขาเพื่ออะไร 

สักพักก็มีผู้หญิงไทยคนหนึ่งเดินลงมา ตะโกนบอกลูกชายตนเองว่า “ถ้ามึงไม่อยากตาย มึงออกจากที่นี่ไปซะ”  พอลูกตนเองถามว่าเขาทำอะไรผิด ผู้หญิงคนดังกล่าวก็ตะโกนบอกกลุ่มผู้ชายที่คาดว่าเป็นลูกน้อง ให้เข้ามารุมทำร้ายลูกชายตนทันที จนลูกชายบาดเจ็บ ขณะนี้อยู่ระหว่างรักษาตัว 

แม่ของผู้เสียหายบอกว่า มีการแจ้งความดำเนินคดีแล้ว แต่ตำรวจพยายามจะให้เจรจากันอย่างเดียว ที่ผ่านมาทราบว่าชายคนดังกล่าว ก็เคยก่อเรื่องแบบนี้กับคนอื่นมาหลายครั้ง มูลเหตุมาจากปัญหาการแย่งลูกค้ากัน ร้านที่ตนเองอยู่ตอนนี้ เพิ่งมาเช่าช่วงหลังสถานการณ์โควิด-19 เพื่อเปิดร้าน โดยก่อนหน้านี้ทราบว่าชายคนดังกล่าว เคยเช่าตรงนี้ทำมาก่อน แต่เจ้าของที่ไม่ให้ต่อสัญญาเช่า พอเห็นตนเองกับครอบครัวมาเช่าเปิดร้าน อาจจะเป็นชนวนทำให้ไม่พอใจก็เป็นได้

ล่าสุด ผู้ก่อเหตุ สัญชาติอินเดีย วัย 52 ปี เจ้าของร้านอาหารใน ต.อ่าวนาง อ.เมืองกระบี่ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนไปบอกพ่อของคนเจ็บแล้วว่า ไม่ควรมาตบลูกน้องของตน วันเกิดเหตุแค่ถามว่า ตบลูกน้องตนทำไม แล้วก็ชกไปแบบที่เกิดเหตุ

ตนอยู่ที่นี่มา 24 ปีแล้ว ไม่เคยมีเรื่องกับใคร ตนทำมาหากินสุจริต ไม่ได้เป็นมาเฟีย มาเฟียต้องไปไถเงินคนอื่น แต่ตนทำงานช่วยเหลือสังคมมาตลอด

วันเกิดเหตุนั้น ตนเองก็ถูกตีหัวแตกเย็บ 3 เข็มเหมือนกัน ส่วนในทางคดีนั้นก็ให้ตำรวจดำเนินการไป เพราะเป็นการทะเลาะวิวาทกันเท่านั้น ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อจากตำรวจ ซึ่งก็พร้อมจะเดินทางไปทันทีเมื่อทาง ตร.เรียกตัว

ทางด้าน พ.ต.ท.สมพร ทิพย์อาภากุล รอง ผกก.สส.สภ.อ่าวนาง เปิดเผยว่า คดีดังกล่าวนั้นทางตำรวจไม่ได้เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่เนื่องจากเป็นเหตุทะเลาะวิวาทซึ่งเป็นคดีอาญาที่สามารถยอมความกันได้ จึงได้ให้เวลาทั้ง 2 ฝ่ายไปเจรจากันก่อน แต่ในเมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ยอม ก็ต้องดำเนินคดีไปตามกฎหมาย

ในเบื้องต้นนั้นทางพนักงานสอบสวน ได้สอบปากคำฝ่ายผู้บาดเจ็บเสร็จไปแล้ว ขณะนี้รอใบรับรองจากแพทย์ถึงอาการบาดเจ็บ และหลังจากนี้ ก็จะเรียกผู้ต้องหาที่ถูกระบุชื่อมาสอบปากคำ รวมทั้งไปเอาหลักฐานเพิ่มเติมคือภาพกล้องวงจรปิดว่าในวันเกิดเหตุ มีใครที่ร่วมในเหตุการณ์บ้าง ก็จะแจ้งข้อกล่าวหาทั้งหมด ส่วนข้อกล่าวหาในเบื้องต้นคือ ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น และหากพบว่าบาดเจ็บสาหัส ก็จะแจ้งเพิ่มได้อีก



загрузка...